วิธีการปลูกดอกดาวเรือง วิคตอรี่ออเรนส์

ดาวเรืองลูกผสมสีเหลืองส้มต้นสูง ดอกใหญ่ กลีบดอกซ้อนกันแน่น ขนาดดอก 8-10 ซม. ให้จำนวนดอกมาก ความสูงต้น 70-100 ซม. เหมาะสำหรับปลูกเป็นไม้กระถาง และตัดดอกจำหน่าย

การเตรียมดิน

  1. ไถดินลึกประมาณ 30-50 ซม. และหว่านปูนขาวโดโลไมท์อัตรา 200-400 กก./ไร่ เพื่อปรับสภาพดินตากทิ้งไว้ 4-5 วัน 
  2. ใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก อัตรา 1-2 ตัน/ไร่ 
  3. ใส่ปุ๋ยสูตร 15-15-15 รองพื้น อัตรา 20-30 กิโลกรัม/ไร่ 
  4. จากนั้นตีพรวนดินให้ละเอียด และขึ้นแปลงปลูก ขนาด 1.20 เมตร สำหรับแปลงคู่ และ 70-80 ซม. สำหรับแปลงเดี่ยว 
  5. คลุมด้วยพลาสติกสองหน้าสีดำ-เงิน โดยสีเงินอยู่ด้านบน

การเพาะเมล็ด

  1. เตรียมน้ำสำหรับผสมวัสดุเพาะโดยผสม โพรพาโมร์คาร์บ อัตรา 0.4 ซีซี ต่อน้ำ 1 ลิตร หรือเมทาแลกซิล เพื่อป้องกันโรคเน่าคอดิน
  2. ผสมน้ำที่เตรียมไว้กับพีทมอส โดยค่อยๆเติมน้ำทีละน้อย  คลุกเคล้าให้เข้ากัน จากนั้นลองบีบวัสดุเพาะเพื่อทดสอบว่า น้ำเข้ากับวัสดุเพาะได้ดีหรือไม่ หากบีบน้ำแล้วมีน้ำออกมาเล็กน้อยตามร่องมือ และวัสดุเพาะเกาะกันเป็นก้อนดีถือว่าใช้ได้ หากมีน้ำไหลออกมามากเกินไป ให้ผสมวัสดุเพาะเพิ่ม หรือไม่มีน้ำซึมออกมาแสดงว่าน้ำน้อยเกินไป ให้เพิ่มน้ำและบีทดสอบอีกครั้ง 
  3. นำวัสดุเพาะที่เตรียมไว้ใส่ถาดเพาะให้เต็มหลุม กระแทก ถาดเพาะ 1 ครั้งเพื่อให้วัสดุเพาะลงถึงก้นหลุม เติมวัสดุเพาะให้เต็ม แล้วปาดหน้าดินถาดเพาะให้เรียบ พอดีกับหลุมนำถาดเพาะเปล่ามาวางบนถาดเพาะที่ใส่วัสดุเพาะแล้ว จากนั้นกดถาดเปล่าเพื่อทำหลุม โดยหลุมที่กดควรมีขนาดลึกพอดีกับเมล็ดดาวเรืองฝรั่งเศส ประมาณ 0.5 ซม.
  4. ทำการหยอดเมล็ดพันธุ์ดาวเรือง 1 เมล็ดต่อ 1 หลุม นำวัสดุเพาะที่ยังไม่ได้ผสมน้ำมาใส่ตะกร้าเพื่อร่อนกลบเมล็ดโดยกลบให้มิดเมล็ด เนื่องจากเมล็ด ดาวเรือง ไม่ต้องการแสงในการงอก และเป็นการรักษาสภาพความชื้นในการงอกของเมล็ด
  5. พ่นสารเคมี โพรพาโมคาร์บ อัตรา 1 ซีซี ต่อน้ำ 1 ลิตร หรือเมทาแลกซิล 1 กรัม ต่อน้ำ 1 ลิตร พ่นให้ทั่วถาด เพื่อป้องโรคเน่าคอดินอีกครั้งนำถาดเข้าไปในบริเวณที่พรางแสง 80%-90% และรักษาความชื้นโดยการพ่นน้ำ อย่าให้ถาดเพาะแห้งจนเกินไปเพราะจะทำให้เมล็ดไม่งอกหรือแฉะจนเกินไป อาจทำให้เป็นโรคเน่าคอดินในระยะงอกของเมล็ด
  6. การรดน้ำควรรดในช่วงเช้า หรือสังเกตุเห็นว่าดินแห้ง หากให้น้ำมากเกินไป จะก่อให้เกิดความชื้น ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคเชื้อราที่จะตามมา การรดน้ำควรใช้หัวสเปรย์ขนาดเล็ก เพื่อป้องกันในช่วงเพาะกล้าเมล็ดกระจายออก นอกถาด

การย้ายปลูก

  1. เมื่อต้นกล้าอายุ 15-20วัน หรือมีจำนวนใบจริง 2-3 คู่ใบ ย้ายลงแปลงปลูก ควรย้ายช่วงเย็น ( แดดไม่แรง ) เพื่อช่วยลดการสูญเสียน้ำของต้นกล้าส่งผลให้ต้นกล้ามีการตั้งตัวได้ดีหลังการย้ายปลูก
  2. ก่อนย้ายปลูกงดน้ำในถาดเพาะ 1 วัน เพื่อให้ดินเกาะรากต้นกล้าได้ดีขึ้น ตุ้มไม่แตกเมื่อนำมาลงปลูก โดยก่อนย้ายต้องให้น้ำในแปลงปลูกอย่างเพียงพอ ไม่แห้งหรือแฉะจนเกินไป
  3. การวางสายน้ำหยดควรตรวจสอบด้วยว่า สายน้ำหยดต้องอยู่ตรงกับรอยเจาะรูของพลาสติก เพื่อที่น้ำจะหยดลงในจุดที่ปลูกต้นกล้าด้วย ซึ่งจะทำให้ต้นกล้าได้รับน้ำอย่างเพียงพอ
  4. ควรทำการเด็ดยอดดอกดาวเรืองหลังการย้ายปลูกประมาณ 10 – 15 วัน ต้องมีใบจริงอย่างน้อย 3 คู่ เด็ดยอดออก 1 คู่ โดยใช้มือด้านหนึ่งจับข้อที่ต้องการเด็ด และโน้มกิ่ง ด้านบนลงจนหักชิดข้อที่จับ ช่วยในการแตกทรงพุ่ม แนะนำให้เด็ดยอดเพื่อให้ลำต้นสมบูรณ์แข็งแรง ไม่ออกดอกเร็วจนเกินไป

การดูแลจัดการหลังการย้ายปลูก

การดูแลรักษา

การให้น้ำในช่วงแรกคือตั้งแต่เริ่มปลูกถึงอายุ 7 วัน ควรให้น้ำวันละ 2 ครั้ง เช้าและเย็น หลังจากนั้นให้วันละครั้ง แค่ตอนเช้าก็พอ และในช่วงดอกเริ่มบานจะต้องระวังอย่าให้น้ำถูกดอกดาวเรือง เพราะจะทำให้ดอกเสียหายและเชื้อโรคเข้าทำลายได้ง่าย 

การให้ปุ๋ย

เมื่อดาวเรืองมีอายุ 15 และ 25 วัน ใช้ปุ๋ยสูตร 15-15-15 อัตรา 1 ช้อนชาต่อหลุม และเมื่อดาวเรืองมีอายุ 35-45 วัน ควรใส่ปุ๋ยสูตร 15-24-12 อัตรา 1 ช้อนชาต่อหลุม การใส่ปุ๋ย ควรใส่ให้ให้ห่างโคนต้นประมาณ 6 นิ้ว โดยฝังลงในดินประมาณ ครึ่งนิ้ว จากนั้นพรวนดินรอบ ๆ โคนต้นไว้ การใส่ปุ๋ยทุกครั้งจะต้องรดน้ำตามเสมอ

การเก็บเกี่ยว

อายุของดาวเรืองที่สามารถตัดได้คือประมาณ 54-58 วันหลังหยอดเมล็ด หรือให้สังเกตจากดอกที่ยังมีกลีบดอกตรงกลางเป็นสีเขียวอยู่ได้นานกว่าดอกที่บานทั้งหมด ในการตัดดอกนั้นควรตัดให้ชิดโคนกิ่งให้มากที่สุด จะทำให้ก้านดอกที่ติดมามีขนาดยาว การตัดดอกดาวเรืองเพื่อนำมาปักแจกันนี้ควรตัดให้มีก้านดอกยาวประมาณ 18-20 นิ้ว มัดดอกดาวเรืองเป็นกำ ๆ แล้วใช้กระดาษหนังสือพิมพ์ห่อเพื่อให้ดอกดาวเรืองคงความสดอยู่ได้นาน ๆ

Short URL :